วัดเก็กลกสี่ (Kek Lok Si) หรือ วัดเขาเต่า หรืออีกชื่อที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ Temple of Supreme Bliss เป็นวัดจีนพุทธ นิกายมหายาน ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ในย่าย แอร์-ไอเท็ม (Air itam) เมืองปีนัง ประเทศมาเลซีย จะสวยขนาดไหนไปชมกันเลย

การเดินทางไปวัดเก็ลกสี่ ให้ใช้รถประจำทาง Penang Rapid สาย 203 หรือ 204 ก็ได้ โดยทั่วไปรถทั้งสองสายจะผ่านห้างที่ชื่อว่า Komtar แต่เรานั่งสาย 203 จากโรงแรม Container Hotel เลย (โรงแรมนี้มีป้ายรถประจำทางอยู่ด้านหน้า มีรถผ่านหลายสาย แนะนำครับ)

ขั้นจากต้น ๆ สาย เนื่องจากโรงแรมอยู่ห่างจากคิวรถประมาณ 1-2 ป้ายเท่านั้นเอง คนเลยขึ้นยังไม่มาก เดินขึ้นมาบนรถทางประตูหน้าแล้วบอกคนขับว่า “KEK LOK SI TEMPLE” (เก็กลกสี่เท็มเพิล) คนขับจะบอกว่า “TWO RINGGITS” (ทูริงกิต) ให้เงินไป รับตั๋วที่คล้าย ๆ สลิปมา เลือกที่นั่งตามสบาย

ใครฟังไม่ออกบอกไม่ถูกละก็ไม่เป็นไร ภายในรถมีป้ายบอกทางบอกชัดเจน บรรทัดแรกบอกสายของรถและเส้นทางต้นทาง คือ 203 JETI (คิวรถเจติ) – AIR ITAM (ปลายทางแอร์-ไอเท็ม) ส่วนบรรทัดต่อไปจะเป็นการบอกป้ายต่อไปที่รถจะจอด และบอกอีก 2 ป้ายถัดจากป้ายที่จะจอดพร้อมเวลาโดยประมาณ สังเกตประมาณนี้ถ้าขึ้น Kek Lok Si Temple ในป้ายแล้ว กดกริ่งลงได้เลย แต่ในบางครั้งคนขับก็จะตะโกนบอกเราด้วย ช่วย ๆ กันจะได้ลงไม่ผิดป้าย

ป้ายรถประจำทางวัดเก็กลกสี่เป็นป้ายเล็ก ๆ มองเห็นไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยาก ถ้ากดกริ่งลงมาแล้วเจอป้ายแบบนี้ถือว่ามาไม่ผิดแน่นอน

เมื่อลงรถแล้วเดินย้อนกลับไปจะเห็นวัดเก็กลกสี่ตั้งแต่ไกลแบบนี้ หากหันหลักมาแล้วเจอแบบนี้มั่นใจได้อีกขั้นว่ามาถูกที่แล้วชัวร์ เดินต่อไปได้เลย

ระหว่างทางจะเจอร้านท้องถิ่นแวะซื้อน้ำลูกจันทน์ (Nutmeg Juice) มาสัก 1 ขวดรสชาติอร่อยดีแต่หวานบาดคอไปหน่อย แต่ใครชอบหวาน ๆ อันนี้เหมาะชุมคอดี ราคา 2 ริงกิต (15 บาท)

เดินมาเรื่อย ๆ ผ่านร้านค้าต่าง ๆ มามาย แวะช้อปบ้างอะไรบ้าง และแล้วก็มาถึงหน้าวัดเก็กลกสี่ จะเป็นลานจอดรถ และมีพระพุทธรูปปุนปั้นเรียงอยู่อย่างมากมาย พร้อมลุย

เพื่ออำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวทางวัดเก็กลกสี่ยังมีบริการลิฟท์ โดยลิฟท์ที่นี่จะมีบริการทั้งหมด 4 ชั้น ใครเลือกที่จะสะบายหน่อย หรือรีบกลัวจะไปที่อื่นไม่ทันก็สามารถมาใช้บริการได้

สำหรับลิฟท์นั้นมีค่าบริการนะครับ สอบถามเจ้าหน้าที่แล้ว ราคา 2 ริงกิต (15 บาท) ต่อ 1 ชั้น ต่อ 1 เที่ยว นั่นหมายความว่าหากต้องการใช้บริการทั้งไปและกลับ จะเสียเงินทั้งหมด 12 ริงกิต (90 บาท)

ส่วนเราทรหดพอครับ เราจะเดินเอาถือซะว่าออกกำลังกายแล้วกัน เดินไปเรื่อย ๆ ตามทาง ระหว่างทางจะมีป้ายบอกทางเป็นระยะไม่ต้องกลัวหลง ปะเที่ยวกัน!

จุดแรกก็มาถึงเดินมาเรื่อย ๆ จะเจอกับสะพานโค้งสระเต่า ใครขึ้นลิฟท์แล้วไม่ยอมเดินจะพลาดวิวสวย ๆ แบบนี้เอาได้ (เตือนแล้วนะ) สะพานโค้งสวยงามมาให้เข้ากับภูมิประเทศน้ำตกกับโขดหินได้เหมาะสมโดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนภูมิประเทศเลย

ใกล้ ๆ กันจะมีจุดจำหน่ายผักบุ้ง ไม่ได้ให้เอาผักนะ มันเป็นอาหารเต่า ไม่เสียเงินค่าลิฟท์แต่ต้องมาเสียเงินค่าผักบุ้งเต่า (ถือว่าได้บุญ) กำละ 20 บาท หรือ 2 ริงกิต (สามารถใช้เงินไทยได้)

ถึงเวลาให้อาหารเต่าแล้ว เต่าที่นี่ถูกแบ่งแยกออกจากน้ำตก ซึ่งเต่าเองก็มีจำนวนมากมายเหลือเกิน เต่าเองก็กินผักบุ้งที่เราโยนลงไปให้อย่างอร่อยเพลินจริง ๆ แต่อย่าเพลินตรงนี้จนลืมว่าหนทางนี้เรายังอีกยาวไกลนัก ปะลุยต่อ!!!

มองจากมุมนี้ก็ดูสวยงามมาก สังเกตว่าเตามีจำนวนมากจริง ๆ ทั้งในน้ำและตามหินต่าง ๆ ส่วนที่ดูคล้าย ๆ บันไดเหล็กนั่นก็คือทางของลิฟท์ที่จะพาไปชั้น 2

เห็นไหมละครับว่ามีป้ายบอกทางไม่หลงแน่นอน เดินขึ้นไปเรื่อย ๆ ทางเดินขึ้นไปยังวัดนี้ ไม่ใช่ทางเดินราบ ๆ นะครับ เป็นการเดินขึ้นเนินสูง ๆ ชัน ๆ สลับกัน เล่นเอาหอบกินได้เหมือนกัน

เดินขึ้นมาเรื่อย ๆ วิวก็สวยงามเรื่อย ๆ มองเห็นเขาที่มีต้นไม้เขียวชะอุ่ม อากาศก็ลดลงเรื่อย ๆ สบายกายสบายใจ หายเหนื่อยไปหน่อย

บางจุดเหมือนจะมีอุปกรณ์ก่อสร้างอยู่บ้างก็หลบ ๆ หน่อย เพราะทางวัดมีการก่อสร้างหลายอย่างเลย

เมื่อเจอป้ายนี้ก็เดินตามทางขึ้นไปยังบันไดเล็ก ๆ ได้เลย นี่เราอยู่ที่ชั้น 1 ครึ่งแล้วนะเกือบละเกือบจะชั้น 2 แล้ว สูดอากาศเฮือกใหญ่ ๆ

เดิน ๆ มาเหมือนจะไม่ใช่ทางที่ถูก แต่เราก็ต้องมั่นใจป้ายว่าถูกเดินต่อไปเรื่อย ๆ เริ่มหอบแล้ว บันไดเยอะมาก แต่ก็สู้ เดินไปจนสุดทางเดินแล้วเลี้ยวขวา

เลี้ยวขวามาแล้วเดินอีกไม่ไกลแต่ก็หอบได้ ก็จะเจอกับประตูวัดขนาดใหญ่ แปลว่าใกล้จะถึงแล้ว เดินต่อไป

ใครไม่อยากเดิน ไม่อยากขึ้นลิฟท์ ก็สามารถขับรถมาเองหรือนั่งแท็กซี่ให้มาส่งที่ลาดจอดรถด้านบนได้เลย (แล้วเราจะเหนื่อยทำไม เพื่อธรรมชาติ)

ที่นี่เหมือนจะคล้าย ๆ บ้านเราแต่แสดงออกมากกว่าบ้านเรานั่นคือห้าม Grab เข้ามาจอด มารอ หรือห้ามเข้ามาเลย โดยสถานที่เป็นผู้ติดประกาศเอง ซึ่งใครที่จะเรียกแท็กซี่ผ่าน Grab ต้องคิดหน่อยนะ

ถึงประตูวัดชั้นบนแล้วถ่ายรูปสักหน่อย ประตูวัดทำได้สวยงามมาก ๆ ยิ่งใหญ่ทั้ง ๆ ตั้งอยู่บนที่ชัน อลังการจริง ๆ

เดินเข้ามาด้านใน จากประตูทางเข้าจะพบกับหอสวดมนต์ อย่ามัวรอช้า เข้าไปชมกันเลย

ภายในหอสวดมนต์จะมีที่นั่งสำหรับผู้ที่ต้องการสวดมนต์ และรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม 3 องค์ใหญ่ รอบหอสวดมนต์ภายในมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมติดตามผนัง

รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมขนาดเล็กตอดอยู่ตามฝาผนังด้านในหอสวดมนต์ มีนับพันนับหมื่นองค์เลยทีเดียว

องค์ด้านขวามือสุดเป็น พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์แห่งปัญญา นับถือมากในทั้งฝ่ายมหายานแ

องค์ตรงกลางเป็น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ หรือ เจ้าแม่กวนอิมที่เรา ๆ รู้จัก

องค์ซ้ายมือสุดจะเป็น พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ทรงเป็นเลิศในทางจริยาและมหาปณิธาน ด้วยทรง มุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ ซึ่งถือเป็นภาระอันหนักหน่วง

นอกจากนนี้ในหอสวดมนต์ยังมีของที่ระลึก ของฝาก และสิ่งของนำโชคมากไว้คอยจำหน่ายอีกด้วย ลองเลือกซื้อเลือกชมกันได้

เมื่อชมและไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่หอสวดมนต์เสร็จแล้ว ก็เดินออกไปตามทางของระเบียง จนสุดทางเลี้ยวซ้าย จะพบเจอคนขอทานกลุ่มหนึ่งไม่ต้องกลัวเดินผ่านไปได้เลยเพราะเป็นทางผ่านที่เข้าไปด้านใน

เมื่อเลี้ยวซ้ายเดินเข้ามาแล้วจะพบกับสวนเจดีย์ 7 ชั้น เป็นอีกสวนหนึ่งที่สวยงามมาก ๆ สวนนี้เหมือนจะรายล้อมไปเขาต่าง ๆ ทำให้ได้วิวที่ดูแปลกตา เดินต่อไปตามทางที่มีหลังคา

เดินตามทางนี้ไปนะครับ จะเจอกับกลุ่มขอทานตามสองข้างทางเลย หรือใครอยากแวะสวนเจดีย์ 7 ชั้นเพื่อถ่ายรูปก่อนก็ได้

เดินขึ้นบันไดอีกแล้วครับท่าน แต่ก็ขึ้นโดยไม่ยอมแพ้ เพื่อสิ่งที่สวยงามรออยู่ด้านบน



ในที่สุดก็มาถึงสวนดอกไม้ (อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเขาเรียกว่าอะไร) เป็นสวนดอกไม้ที่มีพระพรหม และพระพุทธรูปนับร้อยองค์ประดิษฐานเรียงรายตามกำแพง ตรงกลางเป็นสวนดอกนานชนิดให้ความสดชื่นได้ดีเลยทีเดียว


แม้แต่บนกำลังของอุโบสถก็ยังมีพระพุทธรูปรอบกำแพงเลย


บริเวณชั้น 1 จะมีพระพุทธรูปอยู่ตรงกลาง สามารถใช้ธูปจริงเพื่อนกราบไหว้ขอพรได้ และภายในบริวณกำแพงก็ยังมีพระพุทธอยู่รายรอบเลย

บริเวณชั้น 2 นั้นจะมีพระพุทธรูปอย่างตรงกลาง 1 องค์ ขนาบด้วยเจ้าแม่กวนอิมข้างละ 1 องค์

ตรงสวนดอกยังยังมีประตูทีทองออกไปแล้วจะเก็นวิวเมืองปีนังได้อย่างชัดเจน เหมาะกับการถ่ายรูปลง IG จริง ๆ

จริง ๆ หอท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 จะอยู่ก่อนถึงสวนดอกไม้ เป็นหอที่รวบรวมรูปปั้นของท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 องค์อยู่

- ท้าวธตรฐ หรือ ทิก๊ก เทียนอ๋อง ซึ่งจะทรงถือพิณเป็นอาวุธ ประจำกาย
- ท้าววิรุฬหก หรือ เตียงเชียง เทียนอ๋อง ทรงถือร่มเป็นอาวุธ
- ท้าววิรูปักข์ หรือ กวางมัก เทียนอ๋อง ทรงถือ กระบี่เป็นอาวุธ
- ท้าวกุเวร หรือ โต้บุ๋น เทียนอ๋อง ทรงถืองูเป็นอาวุธ

ด้วยท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 จะประจำแต่ละทิศกันไป ซึ่งพระองค์จะมีใบหน้า หน้าตาที่น่ากลัวเพื่อไม่ให้ภูตผีปีศาจเข้ามาในเขตศักดิ์สิทธิ์ได้

ถัดมาจะเป็นหอพระ มีองค์พระขนาดใหญ่จำนวน 3 องค์เรียงอยู่ตรงกลาง และมีองค์พระขนาดต่าง ๆ ภานในหอนี้ด้วย


ถัดมาเราจะไปที่เจดีย์พระ 10,000 องค์ เจดีย์นี้เสียค่าเข้า 2 ริงกิต (15 บาท) ต่อคน

เจดีย์นี้ปิดเวลา 6 โมงเย็นหรือ 18.00 น. ปิดก่อนวัดเก็กลกสี่ปิด


ก่อนถึงเจดีย์พระหมื่นองค์นั้นจะมีหอพระที่สวยงามอยู่ กำแพงเป็นกำแพงปูนแกะสลัก เสาหินสีแดงตัดกันอย่างสวยงาม

ภายในมี พระอมิตาภพุทธะ(Amitabha Buddha) พระไวโรจนพุทธะ(Vairocana Buddha) และ พระอักโษภยพุทธะ (Aksobhaya Buddha) ตกแต่งด้วยจิตรกรรมแบบจีน และมีพระราชประวัติของพระพุทธเจ้าด้วย

พระอมิตาภะพุทธเจ้า (ออมีท้อฮุก หรือ อามีท้อฮุดโจ๊ว) นั้นได้กล่าวไว้แล้วในเรื่อ

พระไวโรจนพุทธะ เป็นพระธยานิพุทธะ 1 ใน 5 องค์ ของนิกายวัชรยาน ทรงเป็นประธานของพระพุทธะทั้ง 5 หมายถึงปัญญาอันสูงสุด ตราประจำพระองค์เป็นธรรมจักร หมายถึง ความเป็นหนึ่ง พระกายเป็นแสงสว่าง มักแทนด้วยสีขาว ตำแหน่งในพุทธมณฑลจะอยู่ตรงกลางโดยมีพุทธะอีก 4 องค์ห้อมล้อม

พระมานุษิพุทธเจ้า คือพระผู้ซึ่งได้สำเร็จโพธิญาณ โดยอาศัยที่ได้เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์มาแล้วเป็นลำดับตามคติมหายานกล่าวไว้ว่า พระมานุษิพุทธเจ้า ก็คือพระพุทธเจ้า ที่เสด็จมาประสูตร ตรัสรู้ และปรินิพพาน ในมนุสสภูมิ หรือ ในโลกมนุษย์ นั่นเอง

ในที่สุดเราก็มาถึงเจดีย์พระ 10,000 องค์ แล้ว เป็นเจดีย์ที่มีทั้งหมด 7 ชั้น เป็นบันไดวนอยู่ด้านในของตัวเจดีย์ เจดีย์นี้สร้างขึ้นในปี 1930 และถูกบูรณะขึ้นอีกครั้งในปี 1966

สวนด้านหน้าของเจดีย์ มีความสวยงามจริง ๆ ตัดกับภูเขาที่อยู่ด้านหลัง และท้องฟ้าที่ไม่มีอะไรมาบดบัง ทำให้เหมือนกับว่าเราได้ขึ้นมาอยู่บนสรวงสวรรค์

เจดีย์พระหมื่นองค์เมื่อถ่ายจากด้านหน้า

เมื่อเข้ามาด้านในของเจดีย์พระหมื่นองค์ ก็จะเจอกับรูปปั้นจำลองขององค์เจดีย์

ถัดมาจากโถงด้านนอกจะพบกับรูปปั้น เปี่ยหลู่จูไหล (Pei Loo Joo Lai) อันนี้เราหาประวัติไม่เจอ แต่ดูท่านคล้าย ๆ พระยูไล

บริเวณเจดีย์ชั้นหนึ่งยังประดับไปด้วยกระเบื้อลายพระพุทธเจ้าเต็มทั่วทั้งฝาผนังรอบ ๆ ชั้นเลย

ขึ้นมาในส่วนของชั้น 2 จะเป็นเจ้าแม่กวนอิม 4 กร 7 เศียร

ขึ้นมายังชั้นสาม จะเป็นพระที่เราคุ้นตากันดี นั่นก็คือ พระนารายณ์ ทรงช้างสามเศียร เป็นของพราหมณ์ แต่พบเห็นได้มากในไทย

ชั้นที่ 4 เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์

ชั้น 5 จะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย

ชั้น 6 เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ และพระพุทธรูปในตู้แก้ว (อันนี้ทางเราไม่ทราบข้อมูล)

ชั้น 7 เป็นรูปปั้นพระพุทธเจ้า และเจ้าแม่กวนอิม อีกท่านไม่ทราบข้อมูล

จะเห็นได้ว่าในแต่ละชั้นจะมีทั้งกระเบื้องลายพระ และกระเบื้องลายพระนูน ประดับประดาเต็มผนังทั่วทุกชั้น แต่ละชั้นก็จะมีความแต่ต่างกันของกระเบื้องที่นำมาปู

วัดเก็กลกสี่นี้เป็ฯวัดที่มีขนาดใหญ่ ใช้เวลาในการเยี่ยมชม สักการะเป็นเวลาค่อนข้างนาน เท่าที่ผมเดินเยี่ยมชมก็ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงเลยทีเดียว

มาอีกด้านหนึ่งของเจดีย์ก็จะเห็นรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่แต่ไกล แต่เนื่องจากยังปิดปรับปรุงครั้งนี้เราจึงยังไม่ได้พาไป ไว้โอกาสหน้าจะเก็บภาพมาให้ชมกันอย่างแน่นอน
วัดเก็กลกสี่เปิดให้เยี่ยมชมได้ทุกวัน เวลา 07.00 – 21.00 น. บางส่วนเช่นเจดีย์พระหมื่นองค์ จะปิดเร็วกว่าวัดปิด

ก่อนจะไปต่อที่ปีนังฮิลล์ ก็แวะทานข้าวกันหน่อยที่ Kim Hai Thong Cafe เป็นคล้าย ๆ ศูนย์อาหารมีอาหารหลายร้านให้เลือก

จานแรกที่เลือก เป็น ฉ่าก๋วยเตี๋ยว คล้าย ๆ ผัดซีอิ๊วบ้านเรา รสชาติใช้ได้เลย ถูกปากคนไทย ราคา 6 ริงกิต (45 บาท)

จานที่สองเป็น Penang Prawn Mee รสชาติดีมาก มาที่ปีนังแล้วต้องลอง ราคา 6 ริงกิต (45 บาท)
